Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ยุคที่ 2

Posted By Plookpedia | 24 เม.ย. 60
2,094 Views

  Favorite

ยุคที่ 2
ใน พ.ศ. 2371 อันเป็นปีที่ 5 ในรัชกาลที่ 3 กล่าวได้ว่าเป็นปีแรกที่การแพทย์แผนตะวันตกเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการแพทย์การสาธารณสุขโดยดำเนินการควบคู่กันไปกล่าวคือให้การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยและทำการป้องกันโรคติดต่อที่ร้ายแรงไปด้วย

นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ (Dan Beach Bradley) ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หมอปลัดเล" นักเผยแผ่คริสต์ศาสนาชาวอเมริกัน ซึ่งเข้ามาเมืองไทยในปี พ.ศ. 2378 เป็นผู้ที่ริเริ่มการป้องกันโรคติดต่อครั้งแรกในประเทศไทยโดยสั่งหนองฝีป้องกันไข้ทรพิษจากสหรัฐอเมริกามาปลูกให้ลูกของตนเองก่อนเมื่อฝีขึ้นจึงเอาหนองจากแผลนั้นปลูกให้เด็กคนอื่น ๆ ต่อไปซึ่งปรากฏว่าได้ผลดีจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2381 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้หมอหลวงไปเรียนวิธีปลูกฝีจากหมอบรัดเลย์เพื่อปลูกให้แก่ข้าราชการและประชาชน 

ในระยะแรกพันธุ์หนองฝีต้องสั่งจากต่างประเทศภายหลังที่นายแพทย์ อัทย์ หะสิตะเวชกับนาย แพทย์แฮนส์ อะดัมสัน (Hans Adamson) ไปศึกษาวิธีทำหนองฝีที่ประเทศฟิลิปปินส์จึงกลับมาผลิตหนองฝีในประเทศได้ในปี     พ.ศ. 2448

ในสมัยรัชกาลที่ 4 นายแพทย์ซามูเอล เรย์โนลดส์ เฮาส์ (Samuel Reynolds House) นักเผยแพร่ศาสนาชาวอเมริกาได้มีบทบาทช่วยในการควบคุมอหิวาตกโรคและรักษาคนไข้โดยการใช้ทิงเจอร์การบูรผสมน้ำให้ดื่มเขารายงานไปยังสหรัฐอเมริกันว่าได้ผลดีมาก

 

ต่อมาในรัชสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับการสุขาภิบาลเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2413 พระราชบัญญัติฉบับนั้นชื่อว่า "พระราชบัญญัติธรรมเนียมคลอง"เพื่อให้มีการรักษาความสะอาดของคลองให้ได้มาตรฐานเพราะคนสมัยนั้นเริ่มเชื่อกันว่าการใช้น้ำสกปรกเป็นมูลเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

 

การแพทย์ของประเทศไทยในยุคที่ 2 นี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างการแพทย์แผนโบราณและแผนปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าแพทย์แผนปัจจุบันได้วิวัฒนาการโดยเข้าไปแทนที่การแพทย์แผนโบราณทีละเล็กทีละน้อยและประชาชนค่อย ๆ เกิดความเชื่อถือศรัทธามากขึ้นเป็นลำดับแต่ก็เป็นความนิยมที่ยังอยู่ในวงแคบ ๆ เพราะแพทย์มีจำกัดยิ่งตามชนบทด้วยแล้วการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่เป็นที่ล่วงรู้ของประชาชน

 

การเผยแพร่การแพทย์แผนปัจจุบันออกสู่ต่างจังหวัดครั้งแรกกระทำโดยสำนักงานเผยแผ่ศาสนาของอเมริกันคณะเพรสไบทีเรียนซึ่งออกไปตั้งสาขาที่จังหวัดเพชรบุรีในปี พ.ศ. 2404 โดยมีศาสนาจารย์เอส. จี. แมคฟาร์แลนด์ (S.G. McFarland) และศาสนาจารย์ดาเนียล แมคกิลวารี (Daniel McGilvary) ออกไปปฏิบัติงานแมคฟาร์แลนด์ผู้นี้เป็นบิดาของพระอาจวิทยาคมหรือนายแพทย์ยอร์ชแมคฟาร์แลนด์ผู้เป็นอาจารย์ของแพทย์ไทยหลายรุ่นกล่าวกันว่าเมื่อพระอาจวิทยาคมยังเยาว์วัยอยู่ได้เคยช่วยบิดาห่อยาควินินแจกชาวบ้านที่จังหวัดเพชรบุรี

ศาสตราจารย์ เอส. จี.  แมคฟาร์แลนด์
ศาสตราจารย์ เอส. จี. แมคฟาร์แลนด์
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

พ.ศ. 2410 การแพทย์แผนปัจจุบันได้ขยายไปถึงจังหวัดเชียงใหม่โดยศาสนาจารย์แมคกิลวารีผู้เป็นลูกเขยของนายแพทย์บรัดเลย์นำไปเผยแพร่และช่วยในการบำบัดโรคไข้จับสั่นและป้องกันโรคไข้ทรพิษอย่างเข้มแข็งโดยใช้ยาควินินและหนองฝีที่ได้รับจากนายแพทย์บรัดเลย์ส่วนผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคือนายแพทย์แมคเคน (James W. Mckean) งานสำคัญของท่านคือการจัดตั้งสถานควบคุมโรคเรื้อนแห่งแรกในประเทศไทยนอกจากนี้ในการควบคุมไข้จับสั่นนายแพทย์แมคเคนเป็นผู้นำเครื่องจักรทำยาเม็ดเข้ามาผลิตยาควินินเม็ดเพื่อแจกจ่ายให้แก่ราษฎรกับยังเป็นผู้ตั้งสถานผลิตภัณฑ์หนองฝีขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย

อาจกล่าวได้ว่าวิวัฒนาการของการแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งดำเนินการโดยคณะเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ตั้งแต่ พ.ศ. 2371-2424 เป็นเวลาประมาณ 40 ปีนั้น แม้ว่าจะส่งผลไปถึงประชาชนในชนบทหรือในส่วนภูมิภาคได้ไม่มากนักแต่ก็อาจกล่าวได้ว่าคณะเผยแผ่ศาสนาคริสต์นี้มีอิทธิพลก่อให้เกิดระบบงานสาธารณสุขในประเทศไทยในยุคต่อมา

 

การดำเนินงานสาธารณสุขโดยทางราชการ 

การดำเนินงานสาธารณสุขโดยทางราชการนั้นจากจดหมายเหตุต่าง ๆ ทั้งที่เป็นของทางราชการและของบุคคลนอกวงราชการปรากฏว่าเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในรัชสมัยของสมเด็จพระปิยมหาราชโดยเริ่มด้วยการจัดตั้ง "คอมมิตตีจัดการโรงพยาบาล" เพื่อสร้างโรงพยาบาลที่วังหลังธนบุรีหรือศิริราชพยาบาลเมื่อ พ.ศ. 2429 ภายหลังก่อสร้างแล้วเสร็จก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะกรรมการชุดนี้พ้นจากหน้าที่และจัดตั้งกรมพยาบาลขึ้นแทน เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2431 และโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์เป็นอธิบดีบังคับการกรมพยาบาลมีหน้าที่ควบคุมกิจการฝึกอบรมนักเรียนแพทย์และการบริหารของศิริราชพยาบาลและควบคุมดูแลกิจการของโรงพยาบาลอื่นที่มีอยู่แล้วในขณะนั้นตลอดจนการปลูกฝีให้แก่ประชาชนฉะนั้นอาจถือได้ว่าปี พ.ศ. 2431 เป็นการเริ่มศักราชใหม่ ของการแพทย์และการสาธารณสุขแผนปัจจุบันในประเทศไทย

โรงศิริราชพยาบาล
โรงศิริราชพยาบาล
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

สำหรับประวัติของสถาบันการสาธารณสุขในประเทศไทยอาจกล่าวโดยลำดับได้ดังต่อไปนี้

กรมพยาบาล 
สถาบันแรกซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบัน ได้แก่ กรมพยาบาลสถาปนาขึ้นในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2431 ดังกล่าวมาแล้วโดยมีพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ดำรงตำแหน่งอธิบดีคนแรกสันนิษฐานกันว่ากรมพยาบาลในปีแรกคงจะขึ้นตรงต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปีต่อมาหลังจากที่พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ ทรงประชวรสิ้นพระชนม์กรมพยาบาลได้ย้ายไปขึ้นอยู่กับกระทรวงธรรมการ

 

ระหว่างที่กรมพยาบาลอยู่ในสังกัดกระทรวงธรรมการได้มีกิจการที่สำคัญคือการจัดตั้งโรงเรียนผดุงครรภ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2439 โดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถจัดตั้งหน่วยผลิตหนองฝีใช้เองในปี พ.ศ. 2448 ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปรวมอยู่ในสถานเสาวภาเมื่อปี พ.ศ. 2464 นอกจากนี้ได้จัดให้มีการผลิตยาตำราหลวงและตั้งโอสถศาลาขึ้นเพื่อเป็นที่สะสมยาและเวชภัณฑ์เพื่อใช้ในสถานพยาบาลและองค์การต่าง ๆ ของรัฐบาลกับให้ตั้งกองแพทย์ขึ้นเพื่อให้มีหน้าที่ออกไปดำเนินการป้องกันโรคติดต่อแก่ประชาชนในชนบทและจัดให้มีแพทย์ประจำเมืองซึ่งต่อไปได้พัฒนามาเป็นแพทย์สาธารณสุขจังหวัดในปัจจุบัน

สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ
สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

กรมพยาบาลดำรงฐานะเป็นกรมอยู่จนถึง พ.ศ.2448 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบเลิกกรมพยาบาลโดยให้โรงพยาบาลในสังกัดกรมนี้ไปขึ้นอยู่กับกระทรวงนครบาลเว้นแต่ศิริราชพยาบาลคงให้เป็นสาขาของโรงเรียนราชแพทยาลัยและย้ายสังกัดไปขึ้นอยู่กับกรมศึกษาธิการโดยตั้งเป็นแผนกพยาบาลขึ้นในกรมศึกษาธิการส่วนกองทำพันธุ์หนองฝีกองโอสถศาลารัฐบาลกองแพทย์ป้องกันโรคและแพทย์ประจำเมืองยังคงอยู่ในสังกัดกระทรวงธรรมการดังเดิม

ต่อมาในปี พ.ศ. 2451 กระทรวงมหาดไทยซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการปกครองหัวเมืองเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชนในชนบทได้ขอโอนกองโอสถศาลารัฐบาลกองทำพันธุ์หนองฝีกองแพทย์และแพทย์ประจำเมืองจากกระทรวงธรรมการมาอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยโดยให้ขึ้นอยู่กับกรมพลำภังและในปีเดียวกันได้มีตราพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลและประกาศตั้งสุขาภิบาลขึ้นหลายแห่ง เช่น ที่จังหวัดนครราชสีมาจันทบุรี นครศรีธรรมราช ชลบุรี นครปฐม ภายหลังจากที่ได้ทดลองให้มีสุขาภิบาลเป็นแห่งแรกที่ตำบลท่าฉลอมจังหวัดสมุทรสาครในปี พ.ศ. 2448 การควบคุมดูแลการสุขาภิบาลในชนบทนี้อยู่ในหน้าที่ของกรมพลำภังเช่นเดียวกัน 

ต่อมาในปี พ.ศ. 2455 กระทรวงมหาดไทยมีโครงการขยายงานทางการสาธารณสุขอย่างกว้างขวางจึงขอพระบรมราชานุญาตตั้งกรมพยาบาลขึ้นใหม่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเพื่อรวมงานเกี่ยวกับการสาธารณสุขซึ่งอยู่ในสังกัดกรมพลำภังเข้าด้วยกันโดยแบ่งการบริหารงานของกรมพยาบาลออกเป็น 6 แผนก คือ 
1. แผนกบัญชาการ 
2. แผนกการแพทย์ 
3. แผนกป้องกันโรคระบาด 
4. แผนกปัสตุระสภา (Pasteur Institute) 
5. แผนกสุขาภิบาล
6. แผนกโอสถศาลารัฐบาล 

งานที่ก้าวหน้าขึ้นในยุคนี้ ได้แก่ การจัดให้มีแพทย์ประจำทุกจังหวัดและจัดสร้างสถานีอนามัยในชนบท ซึ่งเดิมเรียกว่า "โอสถสภา" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "สุขศาลา" และในปัจจุบันเรียกว่า "สถานีอนามัย" นอกจากนี้ได้ขยายการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษไปทั่วทุกจังหวัดและควบคุมการใช้ยาเสพติดให้โทษ

 

กรมประชาภิบาล 

ในปี พ.ศ. 2459 กระทรวงมหาดไทยมีความประสงค์จะปรับปรุงกิจการของกรมพยาบาลให้กว้างขวางยิ่งขึ้นจึงได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนชื่อกรมพยาบาลเป็นกรมประชาภิบาลพร้อมทั้งยกฐานะแผนกต่าง ๆ ขึ้นเป็นกองซึ่งได้รับพระบรมราชานุญาตเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2459 โดยแบ่งส่วนราชการออกเป็น 4 กองดังต่อไปนี้ 
1. กองบัญชาการเบ็ดเสร็จ 
2. กองสุขาภิบาล 
3. กองพยาบาล 
4. กองเวชวัตถุ 

หลังจากสถาปนากรมประชาภิบาลได้ 2 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชดำริว่างานสาธารณสุขยังแยกย้ายอยู่หลายกระทรวงควรที่จะให้รวมอยู่ในหน่วยงานเดียวกันคือกระทรวงมหาดไทยซึ่งเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฏศักดิ์เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยรับสนองพระบรมราชโองการในการรวบรวมกิจการสาธารณสุขไว้แห่งเดียวกันโดยขอให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นชัยนาทนเรนทรซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงธรรมการมาเป็นอธิบดีกรมประชาภิบาลและขอพระราชทานความเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงชื่อกรมใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

กรมสาธารณสุขเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 ได้มีประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษาตั้งกรมสาธารณสุขขึ้นในกระทรวงมหาดไทยโดยมีพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นชัยนาทนเรนทรเป็นอธิบดีคนแรกดังนั้นต่อมาทางราชการจึงได้ถือเอาวันที่ 27 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันคล้ายวันสถาปนาการสาธารณสุขมาจวบกระทั่งทุกวันนี้ในระยะแรกกิจการสาธารณสุขในชนบทและการสาธารณสุขในกรุงเทพฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงนครบาลยังรวมกันไม่ได้เต็มที่เนื่องจากติดขัดเรื่องการโอนอำนาจความรับผิดชอบและเรื่องงบประมาณจนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2465 ได้มีประกาศพระบรมราชโองการรวมการปกครองทั้งหัวเมืองและกรุงเทพฯ ให้อยู่ในกระทรวงเดียวกันโดยยุบกระทรวงนครบาลมารวมกับกระทรวงมหาดไทยการสาธารณสุขและการแพทย์ของกรุงเทพฯ และหัวเมืองใกล้เคียงมาสังกัดกรมสาธารณสุขโดยได้ปรับปรุงส่วนราชการใหม่ในพ.ศ. 2469 แบ่งกิจการออกเป็น 13 กอง

การบริหารงานสาธารณสุขของทางราชการในยุคตั้งแต่ประกาศตั้งกรมสาธารณสุขในปี พ.ศ. 2461 จนถึงปีพระราชทานรัฐธรรมนูญใน พ.ศ. 2475 ซึ่งได้จัดเอาไว้ยุคที่ 2 นั้น การดำเนินงานส่วนใหญ่เพื่อป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพอนามัยของประชาชนสำหรับการบำบัดโรคโดยตรงอันได้แก่การสร้างโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า "โอสถสภา" มีเพียงแต่การสนับสนุนให้ท้องที่ต่าง ๆ จัดสร้างขึ้นเองเท่านั้น 

ในยุคที่ 2 นี้ กล่าวได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของการแพทย์แผนปัจจุบันและการรวมตัวของกิจการสาธารณสุขแต่ก็ได้มีวิวัฒนาการที่สำคัญอันก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าแก่วงการแพทย์การสาธารณสุขในปัจจุบันซึ่งมีปรากฏเป็นหลักฐานในแต่ละเรื่องดังต่อไปนี้ 

 

การผลิตยาตำราหลวง 

โดยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะให้มียาดีและจำหน่ายในราคาถูกให้ราษฎรได้ใช้ทั่วราชอาณาจักรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพในฐานะเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยซึ่งมีหน้าที่บำบัดโรคภัยไข้เจ็บแก่ราษฎรตามหัวเมืองจึงจัดให้มีการประชุมหมอฝรั่งที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2445 และหลังจากปรึกษาหารือกันแล้วตกลงให้ผลิตยาที่อยู่ในประเภทยาสามัญประจำบ้านรวม 8 ขนาน ในระยะแรกหมออะดัมสันซึ่งภายหลังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระบำบัดสรรพโรคเป็นผู้ผลิตต่อมาในปี พ.ศ. 2448 ภายหลังการจัดตั้งโอสถศาลาแล้วรัฐบาลจึงรับโอนหน้าที่นี้มาทำเอง

 

ในระยะแรกยาโอสถสภาหรือที่เรียกว่า "ยาตำราหลวง" เป็นของใหม่ราษฎรยังไม่นิยมใช้กระทรวงมหาดไทยจึงจัดประชุมแพทย์ไทยเพื่อจัดทำยาแผนโบราณออกจำหน่ายด้วยโดยตกลงผลิตและจัดจำหน่ายรวม 10 ขนาน   การจำหน่ายยาตำราหลวงในระยะแรกให้แพทย์ประจำตำบลรับไปจำหน่ายและใน พ.ศ. 2464 ได้ผลิตยาตำราหลวงเพิ่มขึ้นเป็น 25 ขนาน เพื่อให้เพียงพอต่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บในชนบท

ยาตำราหลวง ๔๙ ชนิด
ยาตำราหลวง 49 ชนิด
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

พ.ศ. 2485 ความนิยมในการใช้ยาแผนโบราณลดน้อยลงรัฐบาลจึงให้เลิกผลิตยาแผนโบราณและจากนั้นก็ส่งเสริมการผลิตยาตำราหลวงเรื่อยมาโดยโรงงานเภสัชกรรม (เปลี่ยนเป็นองค์การเภสัชกรรมเมื่อ พ.ศ. 2509) ของกระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบในการผลิตและต่อมาใน พ.ศ. 2522 มีการผลิตยาตำราหลวงรวมทั้งสิ้น 49 รายการจุดประสงค์สำคัญในการผลิตยาตำราหลวงก็คือให้ราษฎรในชนบทมียาที่จำเป็นในราคาย่อมเยาสำหรับใช้ในการบำบัดรักษาโรคอย่างง่าย ๆ เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของคนในชนบท
 

แพทย์ประจำตำบล 

การจัดให้มีแพทย์ประจำตำบลเป็นความคิดของเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฏศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) เมื่อครั้ง เป็นพระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลกโดยขอตั้งหมอพื้นเมืองเป็นแพทย์ประจำตำบลเพื่อให้ช่วยจดบันทึกคนเกิดคนตายได้ทดลองทำอยู่ 2-3 ปี (พ.ศ. ๒๔๔๘-๒๔๕๐) ต่อมาสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงดำริให้กำนันผู้ใหญ่บ้านเลือกหมอแผนโบราณในท้องที่ให้เป็นหมอประจำตำบลเพื่อแบ่งเบาภาระแพทย์ประจำเมืองในการปลูกฝีและจำหน่ายยาตำราหลวงปรากฏว่าการปฏิบัติได้ผลเป็นที่น่าพอใจในปี พ.ศ. 2457 กระทรวงมหาดไทยจึงได้แก้ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 ให้มีตำแหน่งแพทย์ประจำตำบลตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

 

โอสถสภาหรือสถานีอนามัย 

เมื่อ พ.ศ. 2456 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระดำริให้จัดตั้งโอสถสภาเพื่อเป็นสถานที่ทำงานของแพทย์หลวงประจำหัวเมืองโดยให้แต่ละท้องถิ่นหาทุนเพื่อจัดตั้งโอสถสภาประจำท้องถิ่นนั้น ๆ การขยายงานในระยะแรกได้เป็นไปอย่างช้า ๆ ในปี พ.ศ. 2464 มีโอสถสภารวมทั้งสิ้น 43 แห่งซึ่งเป็นของจังหวัด 33 แห่งและเป็นของสุขาภิบาล 10 แห่ง โอสถสภานี้ต่อมาเรียกกันว่า "สุขศาลา" และได้วิวัฒนาการมาเป็นสถานีอนามัยในปัจจุบัน

สถานีอนามัย
สถานีอนามัย
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

โรงพยาบาลหัวเมือง หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัด

ในอดีตการจัดตั้งโรงพยาบาลหัวเมืองมีหลักการเช่นเดียวกับการจัดตั้งโอสถสภาหรือสถานีอนามัย คือ สนับสนุนให้ท้องถิ่นหาทุนจัดตั้งขึ้นเป็นสำคัญในระยะก่อนปี พ.ศ. 2475 โรงพยาบาลหัวเมืองต่าง ๆ ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมจากราษฎรต่างจังหวัดเท่าใดนักเพราะราษฎรยังไม่รู้จักการแพทย์แผนปัจจุบันทั่วถึงจากสถิติที่หาได้ในปี พ.ศ. 2467 มีโรงพยาบาลหัวเมืองจำนวน 10 แห่ง แต่มีผู้ป่วยเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลทั้งปีไม่ถึง 2,000 คน และมีอยู่ 2 แห่งที่ไม่มีใครเข้าพักรักษาตัวเลยดังนั้นก่อนปี พ.ศ.2475 กระทรวงมหาดไทยจึงไม่ได้ขยายการก่อตั้งโรงพยาบาลคงมุ่งแต่การจัดตั้งโอสถสภาหรือสถานีอนามัยเพิ่มขึ้นดังได้กล่าวมาแล้วเท่านั้น

 

แพทย์ประจำเมืองหรือนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด 

ก่อนปี พ.ศ.2436 มีแพทย์ผู้ทำหน้าที่แพทย์ประจำเมืองเรียกกันว่า "หมอหลวงประจำเมือง" โดยให้ผู้ว่าราชการเมืองเลือกหาหมอที่มีความรู้พอวางใจได้และแต่งตั้งให้ทำหน้าที่นี้ภายหลัง พ.ศ. 2436 เมื่อมีแพทย์ประกาศนียบัตรจบการศึกษาแล้วก็ได้ออกไปรับราชการในตำแหน่งแพทย์ประจำเมืองบ้างแต่ก็เป็นจำนวนน้อยแห่งจวบจนกระทั่งปี พ.ศ. 2442 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกำหนดให้แพทย์ประจำเมืองที่จะรับใหม่ต้องมีความรู้ทางผ่าตัดและรักษาบาดแผลด้วยแพทย์แผนปัจจุบันจึงได้กระจายออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้นและต่อมาเมื่อได้เปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2459 แล้วก็ได้เปลี่ยนชื่อแพทย์ประจำเมืองเป็นแพทย์ประจำจังหวัดซึ่งเปลี่ยนแปลงมาเป็นนายแพทย์อนามัยจังหวัดและนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดในที่สุด

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกำลังอบรมผู้สื่อข่าวสารสาธารณสุข
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกำลังอบรมผู้สื่อข่าวสารสาธารณสุข
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

สมเด็จพระบรมราชชนกกับการสาธารณสุข

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนกพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีทรงเป็นองค์อุปถัมภ์งานสาธารณสุขมาตั้งแต่แรกเริ่มแม้ว่าในระยะแรกพระองค์ทรงได้รับการศึกษาทางด้านการทหารและรับราชการประจำกองทัพเรือแต่ในระยะหลังพระองค์ท่านหันมาสนพระทัยกับกิจการสาธารณสุขอย่างจริงจัง ถึงกับเสด็จไปศึกษาต่อทางด้านการสาธารณสุขที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) สหรัฐอเมริกาและทรงได้รับประกาศนียบัตรสาธารณสุข (C.P.H.) ใน พ.ศ. 2464

 

มีเรื่องเล่ากันว่าเมื่อพระองค์เสด็จกลับเมืองไทยชั่วคราวเพื่อมาร่วมงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทรงบรมราชินีนาถนั้นเป็นช่วงที่พระองค์ทรงศึกษาวิชาสาธารณสุขได้ครึ่งปีการศึกษาทรงสนพระทัยในการค้นคว้า เกี่ยวกับงานสาธารณสุขในประเทศไทยโดยเสด็จไปเจาะโลหิตจากนักโทษในเรือนจำด้วยพระองค์เองจนถึงเที่ยงคืนเพื่อนำโลหิตไปตรวจหาพยาธิ และในการค้นคว้าเกี่ยวกับพยาธิปากขอได้ทรงพานักเรียนแพทย์ไปตรวจส้วมในเรือนจำด้วยพระองค์เองด้วย

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
จาก หนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 9

 

 

ในระหว่างเสด็จกลับมาเมืองไทยชั่วคราวได้ทรงนิพนธ์เรื่อง "โรคทูเบอร์คูโลซิส" คือโรคฝีในท้องหรือวัณโรคประทานแก่กรมสาธารณสุขเพื่อจัดพิมพ์เป็นของชำร่วยในงานถวายพระเพลิงศพสมเด็จพระเชษฐาธิราชเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเมื่อวันที่ 24๔ กันยายน พ.ศ. 2463

ภายหลังที่ทรงสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2464 และเสด็จกลับประเทศไทยนอกจากจะทรงทำนุบำรุงกิจการโรงเรียนแพทย์ให้เจริญก้าวหน้าแล้วยังสนพระทัยในกิจการสาธารณสุขและสนับสนุนงานอยู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการสุขาภิบาลเคยทรงสำรวจเกี่ยวกับการสุขาภิบาลในกรุงเทพฯ เพื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ 

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2467 มีการอบรมสาธารณสุขมณฑลที่กรุงเทพฯ ทรงแสดงปาฐกถาเรื่องวิธีปฏิบัติงานสุขาภิบาลและทรงนำแพทย์ที่เข้าอบรมทั้งหมดไปดูงานสุขาภิบาลในกรุงเทพฯ ด้วยพระองค์เองโดยพาไปดูตึกแถว ตลาดและส้วมเข้าไปตามตรอกซอกและอาคารบ้านเรือนของประชาชนเพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้เห็นจริงเห็นจังในปัญหาที่เกิดขึ้น 

อาจมีผู้กล่าวว่าสมเด็จพระบรมราชชนกทรงทำนุบำรุงกิจการแพทย์มากกว่าทางการสาธารณสุขแต่หากจะพิจารณาให้ลึกซึ้งและถ่องแท้แล้วจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่เล็งเห็นการณ์ไกลโดยปลูกฝังให้ประชาชนนิยมชมชอบกับการรักษาพยาบาลซึ่งเห็นผลได้ง่ายเสียก่อนเพราะในสมัยนั้นความเชื่อเรื่องการแพทย์แผนปัจจุบันยังมีน้อยมากเมื่อประชาชนนิยมนับถือในกิจการแพทย์เพิ่มมากขึ้นก็จะเกิดผลสะท้อนที่ดีต่อการพัฒนาการสาธารณสุข ซึ่งพระองค์ทรงให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นในลำดับต่อมา 

ทุกวันนี้คำขวัญและพระราโชวาทของสมเด็จพระบรมราชชนกยังเป็นคำที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นคติธรรมประจำใจของบุคคลในวงการแพทย์การสาธารณสุขอย่างกว้างขวางการสูญเสียสมเด็จพระบรมราชชนกในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 นับว่าเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในการสาธารณสุขของประเทศถึงแม้พระองค์ทรงมีเวลาให้กับการแพทย์การสาธารณสุขเพียง 10 ปี แต่พระองค์ก็ได้ทรงวางรากฐานของงานนี้ไว้อย่างสมบูรณ์ และเป็นผลให้การสาธารณสุขของประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างมีมาตรฐานมาจนถึงปัจจุบัน

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow